การเลือกฟิล์มรถยนต์ให้เหมาะสมกับการใช้งานและสภาพอากาศในประเทศไทยเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากฟิล์มที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดความร้อนในรถ และยังช่วยประหยัดพลังงานอีกด้วย การเลือกฟิล์มรถยนต์ควรพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้:
1. ประเภทของฟิล์มรถยนต์
ฟิล์มใส (Clear Film): มีคุณสมบัติในการกันความร้อนโดยไม่ลดแสงสว่าง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคงทัศนวิสัยที่ชัดเจนขณะขับขี่ โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
ฟิล์มสีเข้ม (Tinted Film): มีสีเข้ม ช่วยลดแสงจ้าและความร้อนจากภายนอก ทำให้ภายในรถเย็นขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
ฟิล์มเซรามิก (Ceramic Film): ฟิล์มที่มีความสามารถในการป้องกันรังสีอินฟราเรดและอัลตราไวโอเลตได้ดีมาก พร้อมทั้งมีความทนทานสูง แต่ราคาจะสูงกว่าฟิล์มชนิดอื่น
ฟิล์มกันรอย (Anti-Scratch Film): ฟิล์มที่มีคุณสมบัติทนทานต่อรอยขีดข่วน ช่วยปกป้องกระจกจากการถูกขูดขีด
2. ระดับความเข้มของฟิล์ม
ค่าความเข้มของฟิล์มมีหลายระดับ ตั้งแต่ 40%, 60% ไปจนถึง 80% ควรเลือกความเข้มตามความต้องการในการใช้งาน เช่น ถ้าขับรถในเวลากลางวันบ่อยๆ อาจเลือกฟิล์มที่เข้มกว่าเพื่อกันความร้อนและแสงแดด แต่ถ้าขับรถในเวลากลางคืน ควรเลือกฟิล์มที่มีความเข้มน้อยเพื่อไม่ให้ทัศนวิสัยแย่ลง
3. ค่าการกันรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) และอินฟราเรด (IR)
ฟิล์มที่ดีควรมีความสามารถในการกันรังสี UV และ IR ได้สูง เพื่อป้องกันความร้อนและปกป้องผิวหนังจากการโดนรังสี UV ที่เป็นอันตราย
4. การรับประกันและการติดตั้ง
เลือกฟิล์มจากผู้ผลิตที่มีการรับประกันคุณภาพสินค้าและบริการติดตั้ง เนื่องจากการติดตั้งที่ดีจะช่วยให้ฟิล์มมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น
5. ข้อกำหนดทางกฎหมาย
ตรวจสอบข้อกำหนดทางกฎหมายเกี่ยวกับความเข้มของฟิล์มในประเทศไทย เพื่อให้แน่ใจว่าฟิล์มที่เลือกจะไม่ขัดต่อกฎหมาย
6. การใช้งานและไลฟ์สไตล์
ถ้าเป็นคนที่ต้องขับรถในสภาพการจราจรที่หนาแน่นหรือในเมือง ควรเลือกฟิล์มที่ช่วยลดความร้อนและเพิ่มความสบายในการขับขี่ แต่ถ้าเดินทางไกลบ่อยครั้ง ควรพิจารณาฟิล์มที่มีคุณสมบัติการกันรังสีได้ดีเพื่อป้องกันความเหนื่อยล้าจากความร้อน
7. สภาพอากาศในประเทศไทย
ประเทศไทยมีอากาศร้อนและแดดจัดเกือบตลอดทั้งปี ดังนั้น ควรเลือกฟิล์มที่สามารถกันความร้อนได้ดีและทนทานต่อสภาพอากาศร้อนชื้น
การเลือกฟิล์มรถยนต์ที่เหมาะสมจะช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยและสะดวกสบายมากขึ้น รวมถึงช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยนต์อีกด้วย